วันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

หลวงพระบางร้อนมาก ไกลมาก สวยมากกก

หวัดดีเพื่อน โปรแกรมเที่ยววันนี้สุดๆมากว่ะ แทบกระอักเลือดไม่ต่างจากตอนที่ไปอยุธยาเมื่อตอนเดือนกันยายนเลย แข็งแรงทรหดอดทนมั่กๆ เริ่มต้นด้วยตอนเช้า กูนอนกับพี่สมคิด เค้ามาเคาะปลุกตอนตีห้า พวกกูก็ไม่ยอมพากันตื่น ลงมาอีกที เหลืออยู่สองคน เค้าไปตักบาตรกันหมดแล้ว โอ๊ย ทิ้งกันได้ เซ็ง แต่ตอนนั้นจะคิดอะไรมากไม่ได้ เพราะต้องรีบหารถตามไปในทันที เพราะพระที่นี่จะออกบิณฑบาตตั้งแต่เริ่มเห็นลายมือตัวเอง ซึ่งตอนที่พวกกูลงมามันก็หกโมงกว่า เห็นชัดไปถึงตูดแล้ว






เหมารถไปวิ่งลงไปหากระติ๊บข้าวเหนียวหน้าตาตื่น พวกป้าๆพากันหัวเราะกูสองคนใหญ่ว่ะ (กูก็ได้แต่ยิ้มสู้แหละ หนอย ทิ้งกันแล้วยังมาซ้ำเติม แต่กูมาทำบุญ กูต้องผ่องแผ้ว) หยิบกระติ๊บได้ พวกกูรีบวิ่งไปที่ต้นสายของพระ พระก็เยอะโคตรๆ อ่ะ กว่าจะวิ่งไปถึงก็หอบซะแระ ข้าวเหนียวกระติ๊บละร้อยเลยนะมึง แต่ก็ใส่ไปได้เกือบห้าสิบรูปแหละ พระเยอะมั่กๆ ที่หลวงพระบางนี่ ชาวบ้านจะเอาข้าวเหนียวใส่บาตรอย่างเดียว (พระก็ฉันขี้มือนักท่องเที่ยวและชาวบ้านพวกนี้แหละ) ส่วนกับข้าวนั้น บ้านที่อยู่ใกล้ๆกับวัดเค้าจะจัดหาไปถวายกันเองทุกๆวัน เค้าบอกว่าถ้าขึ้นไปอยู่บนยอดภูสี ซึ่งเป็นเขาที่อยู่ใจกลางเมืองหลวงพระบางตอนเช้าๆ จะมองเห็นเหมือนเป็นพญานาคสีเหลือง กับลังเคลื่อนตัวลัดเลาะไปตามถนนในเมืองนี้เลย ซึ่งกูก็เชื่อนะ เพราะพระแถวยาวมั่กๆ ประมาณห้าร้อยรูปได้




ตักบาตรเสร็จเค้าก็เอาไปทิ้งไว้ตลาดเช้า ก็เหมือนตลาดสดบ้านเราแหละที่กูพามึงไปดูที่ตอนตีห้าคราวนั้น แต่เสน่ห์ของที่นี่คือ แม่ค้าเรียบร้อยมาก ขายของกันเงียบสนิท ไม่มีตะโกนโหวกเหวกโวยวายเหมือนบ้านเรา และทุกคนก็ยิ้มแย้มอ่ะ ทั้งๆที่เราก็ไม่ได้ซื้ออะไรของเค้า แต่เค้าก็ยินดีให้ถ่ายรูป แล้วก็ยิ้มให้กันทุกคนเลย สยามเมืองยิ้มอย่างบ้านเราอายไปเลยว่ะ แต่นกย่างที่นี่อร่อยเด็ดมาก กูกินไปตัวนึง แซ่บหลาย หลังจากกลับมากินข้าวที่โรงแรมเสร็จ (ซึ่งไม่ปลื้มเลย นึกว่าจะจัด "เฝอ" ซึ่งเป็นอาหารขึ้นชื่อให้กิน แต่ดันจัดอาหารฝรั่งมาซะนี่ รู้งี้กินตั้งแต่อยู่ตลาดเช้าซะก็ดี) เค้าก็พาพวกูไปสู่เมือง "สร้างไห" เพื่อลงเรือไปยังถ้ำติ่ง (ซึ่ง "ติ่ง" แปลว่า หินงอกหินย้อย) เส้นทางไปลงเรือนั้นรายล้อมไปด้วยยาดองตะขาม งูเห่า งูเขียว น่าตื่นตาตื่นใจมาก แต่ก็น่ากลัว ให้กินกูก็ไม่กล้าหรอกว่ะ ถัดจากนั้นก็จะเป็นร้านผ้า ซึ่งก็กูได้ผ้าให้แม่กับยายมานิดหน่อย




ตลอดสองฝั่งโขงที่เดินทางไปยังถ้ำติ่งนั้น สวยงามมากว่ะ เพราะเป็นแม่น้ำโขงในเมืองลาว ซึ่งยังเป็นป่าอุดมสมบูรณ์มาก เกาะแก่งยังอยู่ครบถ้วน มีชายหาดสวยๆที่ยังไม่ถูกทำลายด้วยเรือขุดทรายเหมือนบ้านเรา ใช้เวลาประมาณ 45 นาที เราก็ไปถึงถ้ำติ่ง ซึ่งเป็นถ้ำที่ประดิษฐานอัฐิของบิดาของกษัตรองค์สุดท้ายของลาว ในถ้ำมีพระแกะสลักเต็มไปหมดเลย ซึ่งน้ำโขงเคยท่วมถึงถ้ำนี้ด้วย

กลับจากถ้ำติ่ง พวกกูก็กลับเข้ามาในเมืองเพื่อกินข้าวเที่ยง แล้วเข้าชมพระราชวังแห่งสุดท้ายของลาว (แต่ก่อนเมืองหลวงพระบางเป็นเมืองหลวงของลาว ก่อนย้ายไปอยู่เมืองนครหลวงกำแพงเวียงจันทร์) ซึ่งลักษณะเหมือนพระที่นั่งวิมาณเมฆที่เราไปดูกันนั่นแหละว่ะ แต่ไม่อลังการเท่า แต่มีพระพุทรูปองค์ประมาณเท่าสองฝ่ามือ ทำจากทองคำแท้อยู่ประมาณ 10 องค์ สวยมากกกกก กูเห็นนี่ขนลุกเลย คือมองไปแล้วรู้เลยอ่ะว่าเป็นทองจริง แสงเรืองรองออร่าโคตรๆๆ และราชวงษ์ลาวนั้นประวัติไม่ยาวนานเหมือนของไทย นับย้อนกลับไปได้ไม่กี่พระองค์เอง บางพระองค์ก็ยังมีชีวิตอยู่เลยนะ (แต่ตอนนี้อยู่ฝรั่งเศส) ตรงส่วนนี้มึงน่าจะชื่นชอบเป็นพิเศษ

ถัดจากพระราชวัง ก็ได้ฤกษ์ได้ยามชมธรรมชาติ พวกกูต้องเปลี่ยนรถ เพื่อเดินทางไปยังน้ำตกตาดกวงศรี ซึ่งเป็นน้ำตกที่ขึ้นชื่อว่าสวยที่สุดในหลวงพระบาง มีน้ำไหลตลอดปี (ก็ไม่แปลกใจว่ะ ป่าเยอะซะขนาดนั้น) พอไปถึงกูตะลึงเลยว่ะนุ เพราะไม่น่าเชื่อว่านี่คือสภาพน้ำตกในหน้าร้อน น้ำเยอะและใสมาก ๆ เพราะเป็นภูเขาหินปูน ลักษณะเหมือนน้ำตกเอราวัณ ที่กาญจ์บ้านเรา มีชั้นน้ำตกเป็นแอ่งๆให้ลงเล่นน้ำได้ น้ำเป็นสีมรกตเลย กูลงทุนลุยน้ำเข้าไปเพื่อถ่ายรูปมาให้มึงดูโดยเฉพาะ เดี๋ยวขากลับไปกูจะรีบส่งไปให้ดู แต่ถ้ามึงไม่อยากมาไกลขนาดนี้ ไปดูที่กาญจน์ ก็เป็นแบบเดียวกัน (แต่ไม่รู้ว่าทุกวันนี้ มันจะยังสวยเหมือนตอนที่กูไปหรือเปล่า)

กลับจากน้ำตก (ซึ่งกูโดนประนามมาก เพราะมัวแต่ไปเถลไถลถ่ายรูป ให้เค้าตามหากันใหญ่) เค้าก็พาไปส่งที่ "ตลาดมืด" ซึ่งก็คือไนท์บาซ่า บ้านเรา แต่ที่นี่เค้าจะขายของเหมือนที่เชียงใหม่แหละ มีหัตถกรรม งานฝีมือ) พวกกูยังไม่สนใจ ขอปีนขึ้น "ภูสี" ซึ่งเป็นภูเขากลางเมืองที่เล่าให้ฟัง กะจะขึ้นไปดูวิวหลวงพระบางซะหน่อย แต่ด้วยสังขารไม่อำนวย กว่าจะเข็นกันขึ้นไปถึงก็มืดแล้ว เลยเห็นแต่ดวงไฟแทน เสียดายว่ะ

กลับลงมาพวกกูก็ตาลีตาเหลือกเดินดูของ ซึ่งนุ กรูขอโทษว่ะ กูเดินจะหาเสื้อให้มึง พอดีหาตัวที่ถูกใจไม่ได้ ก็เลยไปนั่งกิน "เฝอ" ที่อยากกินมาตั้งนาน พอกินเสร็จเค้ามาเรียกขึ้นรถ กูก็กลัวโดนด่าอีก เลยรีบไป ลืมของมึงว่ะ มึงอย่าว่ากูนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้เค้าแวะวังเวียงอีกรอบ กูจะหาของฝากไปให้ แต่ถ้าไม่ได้ ก็ถือเป็นกรรมของมึงก็แล้วกัน


พรุ่งนี้คณะกูต้องออกจากหลวงพระบางตั้งแต่ตี 5 เพราะอยากจะไปแวะไหว้พระที่นครหลวงเวียงจันทร์ด้วย แต่กูว่าเป็นไปได้ยากว่ะ ยังไงก็ค่ำแน่ๆ ไม่ต้องห่วงเลย กูไม่ขออะไรมากหรอก ขอแค่รถอย่าเสียกลางทางแบบขามาก็พอ


กวาง


ป.ล. ตอนแรก คืนนี้กูจะไปเข้าผับลาว ที่เค้าจะมีเต้น "บัสสะรบ" ที่เป็นเอกลักษณ์การเต้นเมืองลาว แต่ตังค์หมดแล้ว สงสัยจะอด แต่นอนเอาแรงดีกว่า พรุ่งนี้เส้นทางอีกยาวไกล ไม่ต่ำว่า 15 ชั่วโมง เอาใจช่วยก็ด้วยเพื่อน

ป.ล.2 ไกด์สาวชาวลาวชื่อนุช สวยน่ารักมั่กๆ กูหายเหนื่้อยเพราะไกด์นี่แหละ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ไหนๆก็หลงเข้่ามาแล้ว
ยังไงฝากข้อความไว้ด้วยนะครับ
จะได้ไม่ลืมกัน