ฝากให้พี่ๆ พิจารณาด้วยครับ ทั้งข้อความที่ใช้ และสีสรร
สุดยอดโอทอปประทับใจแห่งปี ""ผัดหมี่ตะคุ" กึ่งสำเร็จรูป แห่งอ.ปักธงชัย ทำง่าย กินง่าย แต่รสชาติสุดยอดมาก
วันนี้กำลังนอนซุกผ้าห่มเป็นดักแด้อยู่ดีๆ บ่ายสองกว่าก็มีคนมาเรียกเสียงดังโหวกเหวกอยู่หน้าห้อง
"เฮ้ย พี่เอาของมาฝาก ผัดหมี่โคราช"
อ่ะ กะจะด่าซะหน่อย คนกำลังหลับสบาย แต่ดันมีของฝาก แบบนี้ด่าไม่ลงแว้วคับพี่
"เนี่ย ทำตามคำบอกในฉลาก กินได้เลย"
"ลวกน้ำร้อนเอาได้มั้ยคับพี่ แก๊สหมด" ผมถาม
"ง่าวววว...ไม่ได้โว่ย" พี่เค้าตอบ
อืม..ทำไงดี อยากกินก็อยากกิน ตั้งแต่เช้ายังไม่ได้ออกไปไหน อยู่ดีๆ ก็มีลาภปากมาประเคนให้ถึงที่ แต่แก๊สเจ้ากรรมดันหมดซะนี่
อ๊ะ...เรามีหม้อหุงข้าวกับกาต้มน้ำที่ไม่ต้องใช้เชื้อเพลิงอยู่นี่หว่า มันใช้พลังงานไฟฟ้าาาาา
จัดการเลยซิหมอ รอช้าทำพรือ
สับไก่ สับหอม รอเลย
มันเป็นเส้นก๋วยเตี๋ยวแข็งๆ มีซองน้ำมันเหมือนน้ำมันกระเทียมเจียวมาม่าแปะอยู่
ดูฉลากใกล้ๆ ดิ เค้าเขียนว่าไง
ว่าแล้วก็ทำตามที่ลายแทงได้บอกเอาไว้
หันไปหาอุปกรณ์เท่าที่มี
ทายซิครับว่าผมจะเลือกใช้ตัวไหน
ถะ ถะ ถูกต้องคร้าบ เราต้องใช้หม้อหุงข้าวพันปีนี่อยู่แล้ว ถึงจะง่าววว แต่ก็ไม่คิดจะผัดหมี่ในกาต้มน้ำร้อนดอกหนา
จัดการฉีกซอง เทน้ำมันในซองลงไป มันข้นๆ มีกากๆนิดหน่อย สีไม่สวย แต่กลิ่นหอมมาก
แล้วก็เติมน้ำลงไป 1 แก้ว ตามที่เค้าบอกในลายแทง
แต่แก้วที่บ้านมีหลายขนาดเหลือเกิน เอานี่ล่ะวะ ขนาดกินเบียร์ คงพอดีๆ
แล้วก็รอให้มันเดือดปุดๆ จะบอกว่าหม้อหุงข้าวนี่เดือดเร็วกว่ากะทะไฟฟ้าซะอีกนะ
ดูดิ๊ เดือดยัง
อ่ะ ยังไม่เดือด หันไปเตรียมไข่ก่อนดีกว่า มีเหลืออยู่ 3 ฟอง แต่ใช้ฟองเดียวพอ เดี๋ยวพรุ่งนี้ไม่มีไรแดรกกันพอดี
หันมาอีกที อ้าว เดือดแล้ว เอาไก่กับกระเทียมลงไป ให้มีสีสันของโปรตีนบ้าง
จะได้ไปช่วยซ่อมแซมส่วนทีสึกหรอของหัวใจ
เอาลงไปแล้ว ก็เกลี่ยๆไม่ให้ไก่มันติดกัน เพราะไม่ได้กำลังทำมาม่าหมูสับ เนื้อสัตว์ต้องไม่เป็นแพนะครับ ต้องกระจายๆให้ทั่วถึง
และงานนี้ใช้ทัพพีคนได้ ไม่ต้องกลัวคาว เนื่องจากไม่ได้กำลังต้มปลา
(โห่...เค้ารู้กันทั้งเมืองแล้ว จะอธิบายทำไมฟระ--จากผู้ไม่หวังดี)
เสร็จแล้วก็ใส่ไข่ลงไป (ซึ่งมารู้ภายหลังว่าเป็นความผิดพลาดอย่างมหันต์ เค้าต้องใส่ตอนผัดเส้นเสร็จแล้วโว่ย มันถึงจะไม่แตกกระจายเป็นเม็ดเล็กๆ ชนิดไม่บอกไม่รู้ว่าใส่ไข่ด้วย)
น้ำเดือดปุดๆรุนแรงน่ากลัวมาก คุณหนูๆระวังไอน้ำทำเสียโฉมด้วยนะครับ
ต้มไปซักพัก จะพบว่ามีหมอกลงจัดบริเวณปากหม้อหุงข้าว ทัศนวิสัยไม่ค่อยดีครับ
แล้วก็ถึงเวลาเอาเส้นลง แต่เส้นเค้ามีความยาวมากกว่าปากหม้อ เราก็ไม่ต้องฝืน เดี๋ยวเค้าก็ยุบลงไปเองคับ
พอใส่เส้นลงไป มันจะดูดน้ำดัง "จ๊วบบบบบ"
ทำให้วารีเหือดแห้งโดยพลันครับ เริ่มเข้าเค้าแล้ว
พอน้ำเริ่มหมาด ไม่เหลืออะไรแฉะๆในหม้อแล้ว ก็เอาผักใบเขียวลง เพื่อเพิ่มวิตามินและกลิ่นหอม
แล้วก็คนๆๆๆๆ ไม่ต้องกลัวเส้นขาด เส้นเละ ของเค้าดีครับ เหนียวยังกะหนังสติ๊ก
คนให้ผักสุก แต่อย่าให้ถึงกับเปลี่ยนสี ตอนนี้ถอดปลั๊กได้แล้วล่ะ
เอามาจัดใส่จาน กินกับส้มตำ อู๊ววววว ดูเหมือนมืออาชีพทำมากคับ
รสชาตินี่ บอกได้เลยว่าผัดไทยที่รสชาติดีที่สุดในขอนแก่น ก็ยังสู้จานนี้ไม่ได้ (อันนี้จริงใจนะ ไม่ได้โม้)
โทรไปหาป้ามาลี ถามว่าที่ขอนแก่นมีวางขายไหม แกบอกว่ายังไม่มีตัวแทนจำหน่ายเลย สนใจจะเป็นเอเย่นให้ป้าไหม
อิอิ สนใจครับ สนใจ งั้นขอสั่งป้ามาจำหน่ายที่ขอนแก่นเป็นจำนวน 2 ห่อ นะครับป้า
อร่อยอย่างนี้ ต้องบอกต่อครับ ใครผ่านไปแถวโคราชอย่าลืมมองหาและอุดหนุน ของเค้าดีจริงๆ
วันนี้พอแค่นี้ก่อน กินไปสองห่อ ท้องจะแตกตาย
http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E8554208/E8554208.html
เผื่อโดนลบทิ้ง เอามาไว้ตรงนี้ด้วยดีกว่านะ
====================================================
หลายคนในนี้คงเคยไปมาแล้วแหละครับ แต่ไม่เคยเห็นมีใครบอกว่ามันร้อนนนนนนน ร้อนจริงๆ ร้อนจริงๆ แต่ด้วยสเน่ห์ของเมืองนี้ ก็คลายร้อนไปได้เยอะเลยครับ
หันไปถามเพื่อนว่า แดดร้อนขนาดนี้ ทำไมมีแต่คนขาวๆวะ 555
ไม่รู้จะบรรยายอะไร มาดูรูปกันดีกว่า
อันนี้เป็นภาพของวัดในที่อยู่ข้างทางจากวังเวียงไปยังหลวงพระบางครับ
ม่านภูเขาที่นี่อลังการตื่นตามาก แต่ละลูกใหญ่ๆทั้งนั้น
นี่คือแม่น้ำซอง ไหลผ่านตัวเมืองวังเวียง น้ำใสไหลเย็นเห็นตัวปลา
พื้นแม่น้ำคือหินขัดสวยงามมาก ภูมิทัศน์บริเวณนี้ ใช้ถ่ายทำมังกรหยกได้สบายๆเลยล่ะครับ
อันนี้ถ่ายออกมาแล้วไม่สวยเท่าไหร่ แต่ของจริงสวยงามมากครับ
เป็นลำธารเล็กๆที่คิดว่าเป็นสาขาของแม่น้ำซองนั่นแหละ
ไหลแยกออกมา มีดอกหญ้าสีขาวขึ้นทั้งสองฝั่ง โบกสะบัดตามแรงลมหนาวที่พัดมาเอื่อย ๆ
เห็นภาพนี้แล้ว คิดถึงเพลง "นึกเสียว่าสงสาร" ของอ้อย กะท้อน ไปได้ยังไงไม่รู้ แปลกดี
ถัดจากตรงนั้นมาอีก 4 ชั่วโมง!!!!
เราก็จะมาถึงภูเพียงฟ้า (ชื่อประมาณนี้นะครับ ไม่รู้ใช่หรือเปล่า)
เป็นจุดถ่ายภาพวิว ภาคบังคับจอดกันเลยทีเดียว
คนถ่ายภาพวิวเยอะแยะไปหมด บางคนถ่ายเพลินๆ ถอยแล้วถอยอีก แทบตกเขาตายไปก็มี
มองจากภูเพียงฟ้านี่ไป จะมองเห็นภูเจ้า อลังการมากครับ
สูงใหญ่สุดๆ จนไปแตะเมฆนู่นเลย
เห็นแล้วคิดถึง หุบเขาแห่งมอร์ดอร์ ในเรื่องหลอดออฟเดอะริง
ผ่านมาถึง "ภูคูณ" เป็นจุดจอดซื้อผักครับ
มีผักหลากหลายที่ชาวเขาเอามาวางจำหน่าย
ที่เป็นไฮไลต์ก็คงจะเป็น "ยอดฟักแม้ว" ที่ "ต้น" ชอบผัดให้ "ดิว" กินในเรื่อง The Letter นั่นเอง
"ดิวไม่อยากผัดเองหรอก ดิวอยากกินฝีมือต้น" ฮิ้วววววว หวานซะ
กำนึงสี่ซ้าห้าบาท ไม่แพงครับ
แต่คงไม่เหมาะที่จะซื้อติดมือไปด้วยในเพลานี้
แล้วก็มาถึงหลวงพระบางด้วยสภาพสะบักสะบอมเต็มทน
โทษที พ่อนั่งนานไปหน่อย.....
ริดสีดวงแทบจะรับประทานทวารหนักกันเลย
แต่มัวโอ้เอ้ไม่ได้ครับ ต้องรีบตื่นขึ้นใส่บาตร ด้วยข้าวเหนียวที่แพงที่สุดในโลก (กระติ๊บละ 100 บาท แม่เจ้า)
พระที่หลวงพระบางเยอะมาก และเข้าแถวพร้อมเพรียงเป็นระเบียบเรียบร้อย
และญาติโยมที่ใส่บาตร ก็วุ่นวายกันจริงๆ จะใส่ก็ไม่ใส่ ยึกยักตั้งท่าจะถ่ายรูปกันอยู่นั่น
เค้าบอกว่า ถ้าขึ้นไปบน "ภูสี" ภูเขาที่อยู่กลางเมืองหลวงพระบาง จะมองเห็นสายของพระที่ออกมาบิณฑบาต ยาวเฟื้อย เลื้อยลัดเลาะไปตามซอกซอยในเมือง แลดูคล้ายกับพญานาคเลยล่ะ
ถามเพื่อนว่า ทำไมพระท่านเลี้ยวไปเฉพาะซอยนั้นซอยเดียววะ อีกซอยไม่เลี้ยวเข้าไป ย่ายายที่รออยู่แกจะไม่น้อยใจเหรอ
เพื่อนบอกว่า "มรึงเห็นป้ายห้ามเลี้ยวซ้ายมั้ย พระท่านเคารพกฎจราจรโว้ย"
เออ จริงแฮะ
เรานั่งเรือไปเที่ยวกันที่ "ถ้ำติ่ง"
ซึ่ง "ติ่ง" นั้นหมายถึง หินงอกหินย้อย
ไกด์บอกเราว่า
"ถ้าไผมักฮูบน กะเข้าฮูบน ถ้าไผมักฮูล่าง กะเข้าฮูล่างเด้อ"
แปลว่า "ใครใคร่เข้ารูบน เข้ารูบน ใครใคร่เข้ารูล่าง เข้ารูล่าง นะคะ"
ถ้ำนี้มีสองรูครับ ภายในถ้ำประดิษฐานอัฐิของกษัตริย์ลาว (พระองค์ไหนจำไม่ได้แล้ว) ภายในมีพระพุทธรูปแกะสลัก และหล่อสำริดเต็มไปหมด
แลดูขรึมขลังมากๆ
จากมุมนี้จะมองไม่เห็นรูบนนะครับ เห็นเฉพาะรูล่าง
ผมว่าตัวถ้ำล่ะไม่เท่าไหร่ แต่เส้นทางที่นั่งเรือไปน่ะสวยงามสุดๆเลย
นี่คือไกด์สาวชาวลาวของพวกเรา
ชื่อน้องนุช อายุ 23 ปี บอกกับคณะของเราว่า มีแฟนแล้ว แต่ยังไม่มีผัว o_O"
น้องพูดเก่งมากๆครับ พูดได้ตลอด พูดไทยชัดกว่าคนไทยบางคนซะอีกน่ะ
เวลาเหนื่อยๆ หันมามองหน้าน้องเค้าแล้วก็หายเป็นปลิดทิ้ง หนุ่มๆคนไหนชอบต่อปากต่อคำกับสาว ๆ มาเจอน้องนุชนี่รับรองว่าถูกใจแน่นอนครับ
เห็นแฟนน้องเค้ามารับที่โรงแรม แฟนไม่หล่อแฮะ....แต่ก็อิจฉามัน
เวลาน้องนุชค้อนขวับๆนี่ น่ารักที่สุดเลยน๊า
หมอกตอนเช้าในเมืองหลวงพระบางนี่ สุดยอดครับ
บรรยากาศเหงาๆ เศร้าๆ เหมาะกับการนั่งริมหน้าต่างรถบัส แล้วเปิดเพลงของบอย โกสิยพงษ์คลอดตามเบาๆ
"ชั้นดีใจที่มีเธอ ชั้นดีใจที่เจอเธอ เธอคือกำลังใจเดียวที่มี ไม่ว่านาทีไหนๆ..."
วันนี้พี่ดีใจที่มีน้องนุชมาคอยพูดโน่นพูดนี่ให้ฟังอยู่ตลอดนะ
หลุดจากตัวเมืองมาอีกหน่อย ปรากฎว่ารถเพครับ ( เพ หมายถึง พัง)
ดับไปซะเฉยๆ พวกเราก็เลยวิ่งลงมาถ่ายรูปกันสนุกสนาน ไม่ได้ห่วงคนขับกับไกด์เล้ย ว่าหน้าเครียดขนาดไหน
น้องนุช ตอนทำหน้าดุใส่ลูกทัวร์
ต่อให้ดุแค่ไหน ก็ทำให้พวกพี่ๆ ชื่นใจได้เสมอ
ทักทายกับหมอกยามเช้า แดดแยงตาคนขับเหลือเกิน
อย่าหยีตาดิพี่ เดี๋ยวก็มองไม่เห็นทางหรอก
น้องนุชเดินนำลูกทัวร์ผ่านตลาดเช้า แห่งเมืองหลวงพระบาง รอโทรศัพท์ใครหว่า หรือว่าแฟนที่อยู่ญี่ปุ่นโทรมา.....เศร้า
อันนี้แหละครับ ภูเพียงฟ้าที่ว่า รถทัวร์มาจอดเยอะแยะเลย
(เริ่มโพสต์มั่วแล้วนะรูปน่ะ เรียงซีเควนส์ให้มันดีๆหน่อย)
จากการพิจารณาแล้ว พบว่า วิชาที่ไม่ต้องอ่านหนังสือมาก คือภาษาไทย และสังคม เพราะต่อให้ได้มากหรือได้น้อย (อย่างขึ้เหร่ก็ไม่น่าจะต่ำกว่า 50 ) เปอร์เซ็นต์มันไม่ค่อยมีผลเท่าไหร่เลย แต่ที่ต้องพยายามให้หนักคือ คณิตศาสตร์ กับวิทยาศาสตร์
เลขต้องได้ 60 นะโว้ยยยยยยยย มึงจะทำได้หรือเปล่าเนี่ยยยย
วิทย์ 55 ..... ถ้าไม่โดนชีวะฉุดลงมา มันก็น่าจะมีลุ้นนี่หว่า
ส่วนภาษาอังกฤษ พ่อแก้วแม่แก้ว ช่วยลูกด้วย เมื่อตอนเอนต์ทรานซ์คราวที่แล้วลูกเคยได้่ 70 มาแล้ว คราวนี้ลูกขออีกได้ไหม
เฮ้อออออ อ่านหนังสือๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
อ่านๆๆๆๆๆ
อ่านๆๆๆๆๆ
ไม่มีอะไรจะเสียแล้วโว๊ยยยยยยย
ลุ้นแทบตาย ใจหายใจคว่ำ คะแนนออกมา เสียดายพาร์ทแรกชะมัด ถ้าเอานาฬิกาไป ก็คงมั่วไ้ด้อีกข้อสองข้อ เซ็งงงง
แต่ได้แค่นี้ก็ดีแล้วล่ะ ฟิตวิชาสามัญกันต่อไป ไม่รู้จะเอาอะไรไปสู้กับเด็กมันแล้ว
อ่านหนังสือไม่ทนเลย เซ็งมาก ที่เค้าบอกว่าคนจะดีได้ ต้องมีมารผจญ กูว่ากูนี่แหละ มารตัวเอ้ที่สุดแล้ว มีอย่างที่ไหน อ่านหนังสือได้ห้าหน้า ลุกไปกินน้ำ อ่านได้อีกสองหน้า ลุกมาเล่นเน็ต อ่านได้อีกหนึ่งหน้า ฟุบ หลับ.....เชรี่ยมาก แบบนี้คงติดกะเค้าอยู่หรอก
ไม่ได้ๆ ต้องสู้ ต้องสู้จึงจะชนะ.....มีหลายคนรอชื่นชม และหลายคนรอกระทืบอยู่...(แง กระทืบป๋มเบาๆนะค้าบ กัว)
เครียดว้อยยยยยยยย
ถึงใหม่กับเดือนเพื่อนรัก
ปีนี้สำนักงานเราพาไปเที่ยวภูเก็ต แต่ไม่ใช่จะได้ไปทุกคนนะ ต้องดวงแข็งจับสลากได้ ถึงจะได้โกเซาท์กะเค้า ปกติจับอะไรไม่เคยได้ ตั้งแต่มีกุมารทองมาอยู่ด้วยนี่โชคดีหลายอย่าง
โชคดีต่อที่สองคือ ตอนนั่งเครื่องทั้งไปและกลับ ด้วยสายการบินบางกอกแอร์เวย์ ได้นั่งติดหน้าต่างทั้ง 2 เที่ยว ชวยเสียวดีนักแล ทิวทัศน์ที่เห็นจากบนฟ้าลงมานี่มัน สวรรค์ชัดๆอ่ะ
พอไปถึงสนามบินภูเก็ต เราต้องนั่งรถย้อนกลับเข้ามาในตัวเมืองพังงา ผ่านสะพานสารสินที่เรารู้จักกันดี เพื่อเที่ยวชมทัศนียภาพอันงดงามของภูเขาหินปูน ที่รายล้อมด้วยทะเล ถ้ามองจากเครื่องบินลงมา จังหวัดพังงานี่มีภูมิประเทศที่น่าอัศจรรย์มากเลยนะ เดี๋ยววันหลังจะไปหาภาพจาก Google Earth มาให้ดู
ภูเขาที่เห็นในภาพข้างบน นักท่องเที่ยวเรียกว่า "เขาหมาจู" ไม่ต้องอธิบายก็คงรู้ที่มานะ ว่ามาได้ยังไง
ภูเขาตระหง่าน น้ำทะเลใสๆ ป่าไม้เขียวๆ มาที่นี่ที่เดียวได้ครบทุกอย่าง
เค้ามีบริการพายเรือคายัคนำเที่ยวด้วย จะได้เข้าไปชมภูเขาใกล้ๆได้ แต่พวกเราอยู่เรือใหญ่ อยากดูใกล้ต้องซูม
นั่งเรือไปเราจะผ่านเกาะปันหยี เกาะนี้เป็นเกาะอัศจรรย์นะ เพราะเกิดจากมือคนสร้างทั้งหมดเลย เป็นแพขนาดใหญ่มาต่อกันเป็นหมู่บ้าน แม้แต่สนามฟุตบอลยังเป็นไม้ ที่เห็นในรูปคือสถานีอนามัยกลางทะเล ซึ่งยังคงแบบแปลนเหมือนบนบกเปี๊ยบ ไม่คิดจะเปลี่ยนกันบ้างเลย
นี่คือถ้ำลอด ปกติจะสามารถนำเรือเล็กลอดได้ แต่ว่าวันนี้น้ำขึ้น กัปตันเลยไม่กล้างเสี่ยง กลัวโดนหนีบตายคาถ้ำกันยกสำนักงาน
แล้วเราก็เดินทางมาถึงเกาะตะปู จุดท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของพังงา น้ำทะเลที่เกาะนี้ใสมากๆ แถมหาดทรายขาวสะอาดน่าเล่น แต่ไม่มีใครเค้าเล่นกัน เพราะส่วนใหญ่ผ่านมาถ่ายรูปแล้วก็ไป เค้าว่ากันว่าเกาะตะปูนี้จะตั้งอยู่ได้อีกไม่เกิน 50 ปี เพราะฐานมันแคบลงเีรื่อยๆแล้ว
หันมาอีกทีบนเกาะ เจอแหม่มคนนี้ืยืนถ่ายรูปกับเขาพิงกัน เป็นหน้าผาที่เอียงพิงกันอยู่สองด้าน เห็นหน้าตาแกแล้วนึกถึงเจ้าหญิงแห่งวังสุลต่านอะไรพวกนั้นนะ
บนเกาะมีสินค้าของชาวเลวางขายเต็มไปหมด ราคาก็แพงเอาเรื่อง (จะว่าไปแถวภาคใต้นี่ ไม่มีอะไรถูกสักอย่างนะ) ที่เห็นใส่เสื้อสีม่วงพุงใหญ่ๆนั่นไกด์ของเราเอง ชื่อคุณยุงกับคุณพงษ์ เดินทางมาแล้วรอบโลก น่าอิจฉาอ่ะ
พอถึงเที่ยง เราก็หันหัวเรือกลับมากินข้าวที่เกาะัปันหยี ซึ่งมีร้านอาหารเยอะแยะไปหมด วิวที่มองจากท่าเรืออย่างที่เห็นในภาพนี้ คิดถึงหนังจีนสมัยก่อนที่มีหุบเขาเหลียงซานอะไรพวกนั้น มันสวยจริงๆนะซาร่า
ตกเย็นเราเข้าพักที่โรงแรมชื่อะไรจำไม่ไ้ด้ เป็นโรงแรมสไตล์บาหลี ตกแต่งหรูหราสวยงาม ราคาก็แพงเอาเรื่อง แต่ถ้ามากับทัวร์เค้าบอกว่าค่าห้องลดลงครึ่งต่อครึ่งเลยล่ะ แต่เราก็มิใด้สนใจ เพราะมิได้จ่ายเจ๊า
ตื่นเช้ามาอีกวัน เราขึ้นเรือเฟอร์รี่ลำเบ้อเริ่มมุ่งหน้าเข้าสู่หมู่เกาะพีพี ซึ่งมีเกาะเด่นได้แก่เกาะพีพีเล และพีพีดอน และเราจะแวะดำน้ำดูปะุการังกันด้วยนะ ว๊าววว
จากฝั่งท่าเรือไปเกาะพีพี ใช้เวลาประมาณ 45 นาที ฟังเหมือนนาน แต่น้ำทะเลใสๆกับเกาะแก่งสวยๆ มันชวนให้วิ่งถ่ายรูปมุมนั้นมุมนี้ เผลอแป๊บเดียว ถึงซะแล้ว
นี่คือจุดที่เราจะลงดำน้ำดูปะการัง เสียดายว่ารูปถ่ายตอนดำน้ำอยู่อีกกล้องนึงที่กันน้ำได้ ของพี่แอ๋ว หัวหน้างานพัสดุ ยังตามรูปมาไม่ได้เลย
อ้อ ลืมไป ขาไปเราจะผ่านอ่าวมาหยาอันเลื่องชื่อด้วย ที่เค้าใช้ถ่ายทำเรื่อง The Beach อันมีลีโอนาดี ดิคาปริโอแสดงนำน่ะ แต่ว่าได้แต่มองทางเข้าอ่าว เพราะเรือใหญ่เข้าไม่ได้ เลยได้แต่มองทางเข้าตาปริบๆแบบนี้
ในที่สุด เราก็มาถึงเกาะพีพีซะที เห็นธงไทยโบกสะบัดแ้ล้วชื่นใจ ประเทศไทยนี่มีทรัพยากรที่สุดยอดหลายอย่าง ถ้าไม่ตีกันเองตายไปซะก่อน เราคงเจริญก้าวหน้าได้ในสักวันหนึ่ง
นี่คือชายหาดที่อยู่ในเกาะพีพี หาดนี้จะหันหน้าเข้าหาแผ่นดินใหญ่นะ เป็นหาดที่คลื่นสงบและตื้นมากๆ เราเดินออกไปประมาณ 200 เมตร น้ำยังท่วมไม่ถึงอกเลยอ่ะ แต่น้ำทะเลนิ่งๆแบบนี้เล่นไม่สนุกหรอก ต้องคลื่นโตๆแบบที่ปราจีน มันถึงจะเข้าท่า
อันนี้คือบ้านพักของเกาะพีๆที่เรียงรายกันอยู่ มองจากท่าเรือ
มองไปอีกด้านก็จะเจอกับป่าภูเขาที่เขียวขจีได้ใจ น่าพาเธอสองคนไปหาเห็ดโคนนะ ท่าจะได้เยอะ
และนี่คือสิ่งที่น่าประทับใจที่สุดบนเกาะพีพี สาวน้อยชาวญี่ปุ่นต่างพากันนั่งตากแดดอ่อนๆ นุ่งบ้างไม่นุ่งบ้าง ความงามของสิ่งมีีชีวิตมันอยู่ตรงนี้นี่เอง
สรุปว่าทริปนี้ประทับใจมาก เพราะนอกจากจะไม่ได้จ่ายอะไรเลยแล้ว ยังเป็นการท่องเที่ยวแบบสะดวกสบาย เพราะไกด์ของเราเก่งและบริหารจัดการดีมาก กินอาหารไม่ต้องรอคิว เข้าที่พักรวดเร็ว รถออกตรงเวลา
สนนราคาก็ประมาณ 9500 บาท/คน ทั้ง 3 วัน 2 คืน
เที่ยวเมืองไทย ไม่ไปไม่รู้จริงๆ (หรือไม่รู้ ไม่ไปหว่า)
คิดถึง
กวาง